โรคความดันโลหิตสูง หมายถึง ภาวะความดันโลหิตตัวบน (Systolic blood pressure) ที่สูงกว่า 140 มม.ปรอท หรือมีระดับความดันโลหิตตัวล่าง (Diastolic blood pressure) สูงกว่า 90 มม.ปรอท โดยหากทำการวัดความดันโดยใช้เครื่องวัดความดันชนิดพกพาที่บ้าน จะใช้เกณฑ์ความดันสูงผิดปกติต่ำลงโดยใช้ความดันตัวบนที่มากกว่า 135 มม.ปรอท หรือ ความดันตัวล่างสูงกว่า 85 มม.ปรอท
การที่มีความดันโลหิตสูงเป็นเวลานาน จะส่งผลต่อการเสื่อมของระบบเส้นเลือดในร่างกาย และเป็นสาเหตุของโรคอื่นๆตามมาได้ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจ ไตวายและจอตาเสื่อม ซึ่งเป็นผลจากการที่อวัยวะดังกล่าวต้องทนแรงดันสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน
จากรายงานของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองและหลอดเลือดหัวใจของประชาชนไทยเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากโรคความดันโลหิตสูง และหากสามารถควบคุมโรคความดันโลหิตสูงให้ได้ตามเป้าหมาย จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของประชากรได้ ปัญหาที่ส่งผลต่อการควบคุมโรคความดันโลหิตสูงได้ไม่ดี เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ผู้ที่เป็นโรคความดันสูงไม่เคยทราบว่าตนเองเป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือตรวจพบความดันโลหิตสูงแต่ไม่ได้ตระหนักเนื่องจากผู้ที่ความดันสูงส่วนใหญ่ไม่มีอาการ ทำให้ไม่ได้รับการติดตามอาการหรือรักษาอย่างต่อเนื่อง และมักจะมาพบแพทย์อีกครั้งเมื่อมีภาวะแทรกซ้อนจากความดันสูงเกินขึ้นแล้ว
โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่พบบ่อย และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆได้ ดังนั้นการวัดความดันจึงเป็นสิ่งสำคัญแม้ว่าจะไม่มีอาการผิดปกติก็ตามเพื่อค้นหาผู้ที่มีความดันสูงและรับการรักษาอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น
คำแนะนำในการวัดความดันโลหิต
1. งดสูบบุหรี่ ออกกำลังกาย หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ภายใน 30 นาทีก่อนที่จะวัดความดันโลหิตหากมีอาการปวดปัสสาวะควรปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อน ควรใช้เครื่องมือที่เชื่อถือได้ และควรตรวจสอบแถบพันแขนว่าเหมาะสมกับขนาดต้นแขน
2. นั่งพักบนเก้าอี้ที่มีมีพนักพิง อย่างน้อย 5 นาที วางแขนข้างที่วัดความดันบนที่ราบ ต้นแขนที่พันสายวัดความดันอยู่ในระดับหัวใจ เท้าทั้งสองข้างวางราบบนพื้น ไม่ควรวัดความดันผ่านแขนเสื้อ ขณะวัดความดันไม่เกร็งแขนหรือกำมือและงดพูดคุย
3. ควรวัดความดันเลือดอย่างน้อย 2 ครั้ง ในช่วงเช้า และ 2 ครั้งในช่วงเย็น โดยแต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 1 นาที และบันทึกทุกค่าที่วัดได้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการติดตามการรักษา
4. ในการประเมินผู้ป่วยครั้งแรกหรือในผู้ที่ตรวจพบว่ามีความดันโลหิตสูงครั้งแรก แนะนำให้วัดความดันโลหิตที่แขนทั้งสองข้าง โดยค่าปกติความดันระหว่างแขนทั้งสองข้างจะต่างกันไม่เกิน 20/10 มม.ปรอท(ความดันตัวบนระหว่างแขนทั้งสองต่างกันไม่เกิน 20 มม.ปรอทและความดันตัวล่างไม่เกิน 10 มม.ปรอท)
5. หากความดันตัวบนระหว่างแขนทั้ง 2 ข้างต่างกันมากกว่า 10 มม.ปรอท ซึ่งพบได้ในผู้สูงอายุ ในการวัดความดันครั้งต่อไป แนะนำให้วันความดันโดยใช้แขนข้างที่ความดันสูงกว่า
การจำแนกสภาวะความดันโลหิตในผู้ป่วยอายุ 18 ปีขึ้นไป
เกณฑ์ | SBP มม.ปรอท | | DBP มม.ปรอท |
---|
ดีมาก (Optimal) | <120 | และ | <80 |
ปกติ (Normal) | 120-129 | และ/หรือ | 80-84 |
ปกติค่อนข้างสูง | 130-139 | และ/หรือ | 85-89 |
ความดันโลหิตสูงระดับ 1 | 140-159 | และ/หรือ | 90-99 |
ความดันโลหิตสูงระดับ 2 | 160-179 | และ/หรือ | 100-109 |
ความดันโลหิตสูงระดับ 3 | => 180 | และ/หรือ | => 110 |
ความดันโลหิตสูงเฉพาะค่าบน | => 140 | และ | <90 |
ข้อมูลโดยสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ :
- หากความดันโลหิตสูงกว่า 180/110 มม.ปรอทถือว่าผู้ป่วยอยู่ในสภาวะฉุกเฉิน
- เมื่อความรุนแรงของความดันตัวบน และ ความดันตัวล่างอยู่ในระดับต่างกัน ให้ถือระดับที่รุนแรงกว่าเป็นเกณฑ์ เช่น วัดความดันได้ 142 / 105 มม.ปรอท ให้นับเป็นภาวะความดันโลหิตสูงระยะที่ 2
- High normal blood pressure (ระดับความดันโลหิตในเกณฑ์เกือบสูง) หมายถึง ค่าความดันโลหิตเฉลี่ยจากการตรวจครั้งแรกที่สถานพยาบาลมีค่าตั้งแต่ 130/80 มม.ปรอท ขึ้นไป แต่ยังไม่ถึง 140/90 มม.ปรอทหากตรวจพบว่ามีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดก็สามารถวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้
หากพบว่ามีความดันโลหิตสูงควรทำอย่างไร
1. คำแนะนำคือควรติดตามวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ หากพบว่าระดับยังสูง ควรปรึกษาแพทย์ และไม่ควรประมาท เนื่องจากโรคความโลหิตดันสูงเป็นโรคที่รักษาได้ และเมื่อได้รับการรักษาที่ทันเวลา และถูกต้องจะสามารถลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้
2. สิ่งที่ท่านควรทราบคือระดับความดันโลหิตซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นค่าที่ปลอดภัยจากโรคแทรกซ้อนจะอยู่ในช่วงระดับ 120 / 80 มม.ปรอท แต่เนื่องจากระดับความดันโลหิตที่เป็นเป้าหมายในการรักษานั้นแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย แพทย์ผู้ดูแลรักษาจะเป็นผู้พิจารณาให้ท่านเอง
3. ระดับความดันโลหิตนั้นมีการขึ้นลงได้ในแต่ละช่วงเวลาของวัน ซึ่งจะเปลี่ยนตามกิจกรรมที่ทำ รวมถึงอารมณ์และความเครียด ดังนั้นการวัดความดันโลหิตที่แนะนำคือ ให้วัดช่วงที่หยุดพักจากกิจกรรมอื่นๆอย่างน้อย 5 นาที ในกรณีที่ใช้เครื่องวัดความดันชนิดอัตโนมัตินั้นเครื่องรุ่นใหม่พบว่ามีมาตรฐานดีและสามารถเชื่อถือได้ แต่ควรเลือกเครื่องวัดความดันชนิดวัดที่ต้นแขน (เนื่องจากเครื่องวัดความดันที่ข้อมืออาจจะมีความคลาดเคลื่อนได้มากกว่า) โดยวัดอย่างน้อย 2 ครั้งให้ห่างกันประมาณ 1 นาที บันทึกค่าที่วัดได้ทั้งหมด เพื่อนำมาให้แพทย์ที่ดูแลทราบ และถึงแม้จะไม่มีอาการแสดง ก็ควรวัดความดันไว้เป็นประจำ
4. เมื่อท่านต้องการลดระดับความดันโลหิต สิ่งแรกที่ต้องทำคือ การปรับพฤติกรรม เช่น การรับประทานอาหารที่ไม่เค็ม ลดอาหารที่มีโซเดียมสูง การออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ การพักผ่อนให้เพียงพอ การควบคุมน้ำหนัก เป็นเวลา 3-6 เดือน แล้วลองติดตามวัดความดันโลหิตดู หากไม่ลดลงจึงจำเป็นต้องใช้ยายกเว้นในบางสภาวะที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงหรือมีโรคแทรกซ้อนซึ่งแพทย์อาจให้การรักษาด้วยยาในระยะแรกทันทีเพื่อความปลอดภัย
5. ข้อพึงระวังคือเมื่อรักษาไประยะหนึ่ง ผู้ป่วยมักจะรู้สึกว่าไม่มีอาการผิดปกติจึงให้ไม่อยากทานยาต่อเนื่อง บางท่านลองลดยา หรือหยุดยาเอง ซึ่งการขาดยาทำให้ระดับความดันโลหิตเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะเกิดอาการแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือ โรคหลอดเลือดสมอง จึงควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนปรับยา
สาเหตุของความดันโลหิตสูง
- ความดันโลหิตสูงชนิดไม่มีสาเหตุ ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงส่วนมากเป็นชนิดที่ไม่มีสาเหตุที่แน่ชัดและมักมีประวัติคนในครอบครัวมีความดันโลหิตสูง ซึ่งผู้ป่วยในกลุ่มนี้พบได้ถึง ร้อยละ 90 และจำเป็นต้องได้รับการรักษาเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้
- ความดันโลหิตสูงที่มีสาเหตุ และอาจจะรักษาให้หายได้โดยใช้ยาเฉพาะหรือการทำหัตถการชนิดพิเศษ โดยบุคคลที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นความดันสูงชนิดนี้ได้แก่
- ความดันสูงตั้งแต่ระดับ 2 ขึ้นไปในผู้ที่อายุน้อยกว่า 40 ปี หรือความดันสูงในเด็ก
- ผู้ที่มีความดันสูงเฉียบพลัน หรือความดันที่สูงขึ้นผิดปกติจากค่าเดิม
- ความดันโลหิตสูงที่ได้รับยามากกว่า 3 ชนิดแล้วยังไม่สามารถควบคุมความดันให้ได้ตามเกณฑ์
- ความดันโลหิตสูงตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไปหรือมีความดันสูงแบบฉุกเฉิน
- ความดันโลหิตสูงร่วมกับมีภาวะแทรกซ้อนในหลายอวัยวะ
- อาการที่บ่งบอกถึงโรคทางต่อมไร้ท่อ หรือโรคไต
- ความดันโลหิตสูงร่วมกับอาการนอนกรน หรือหยุดหายใจขณะหลับ
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวความดันโลหิตสูงจากสาเหตุที่แน่ชัด
- ยาหรือสารเคมีบางชนิดสามารถทำให้ความดันโลหิตสูงได้ เช่น ยาคุมกำเนิดบางชนิด ยาลดน้ำมูก ยาลดน้ำหนัก สารเสพติด ยากดภูมิคุ้มกันบางชนิด ยารักษามะเร็งบางชนิด ยาแก้ปวดบางชนิด สมุนไพรบางชนิด ยาฆ่าเชื้อบางชนิด
ช่วงอายุ | สาเหตุของความดันโลหิตสูง |
---|
< 18 ปี | -โรคที่เกิดจากความผิดปกติของไต -ภาวะเส้นเลือดแดงใหญ่ตีบ -โรคที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม |
19-40 ปี | -โรคที่เกิดจากความผิดปกติของไต -ภาวะเส้นเลือดที่ไตตีบ |
41-65 ปี | -ความผิดปกติของฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมหมวกไต -ความผิดปกติของฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมใต้สมอง -โรคนอนกรน -โรคที่เกิดจากความผิดปกติของไต -ภาวะเส้นเลือดที่ไตตีบ |
>65 ปี | -โรคที่เกิดจากความผิดปกติของไต -ภาวะเส้นเลือดที่ไตตีบ -ความผิดปกติของฮอร์โมนไทรอยด์ |
การรักษาระดับความดันโลหิตให้ถึงเป้าหมายทำได้อย่างไร
การรักษาระดับความดันโลหิตให้ถึงเป้าหมายนั้นจะต้องควบคุมความดันโลหิตของท่านให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่ออวัยวะต่างๆในร่างกายซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ เช่น สมอง หัวใจ ไต และตา ซึ่งจะส่งผลทำให้ท่านทุพพลภาพ ทั้งนี้ผู้ป่วยต้องเข้าใจว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูง จะเป็นชนิดไม่มีสาเหตุ (Essential hypertention) และไม่สามารถรักษาให้หายขาด ดังนั้นการควบคุมความดันโลหิตให้ได้ดีต่อเนื่อง และควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆจึงเป็นวิธีเดียวที่สามารถป้องกันโรคแทรกซ้อนได้
“ความดันโลหิตสูงเพชฌฆาตเงียบ…น่ากลัวกว่าที่คิดเราสามารถป้องกันโรคแทรกซ้อนที่น่ากลัวเช่นอัมพาตและโรคหัวใจได้…หากท่านใส่ใจดูแลพบแพทย์สม่ำเสมอและรักษาให้ระดับความดันโลหิตอยู่ในเป้าหมายสำหรับระดับความดันโลหิตของท่านควรเป็นเท่าไหร่นั้นแพทย์ผู้รักษาจะเป็นผู้ให้คำตอบแก่ท่านได้ เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละท่านมีภาวะ หรือโรคประจำตัวต่างๆที่ส่งผลให้เป้าหมายความดันแตกต่างกันในแต่ละคน”
การรักษาโรคความดันโลหิตสูง
- การปรับพฤติกรรมให้ทำทุกรายแม้ในรายที่ยังไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูงจะช่วยป้องกัน และชะลอการเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้
- การให้ยาลดความดันโลหิต อาจจะไม่จำเป็นต้องรีบเริ่มยาทุกราย ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงบางรายอาจไม่ต้องใช้ยา หากสามารถควบคุมระดับความดันโลหิตได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ตารางปรับพฤติกรรมในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง
วิธีการ | ข้อแนะนำ | ประสิทธิภาพของการลด ความดันโลหิตตัวบน |
---|
การลดน้ำหนัก | ให้ดัชนีมวลกาย (Body mass index) อยู่ในช่วง 18.5 – 23.0 สำหรับผู้ที่มีดัชนีมาลกายเกินเกณฑ์ การลดน้ำหนัก 1 กก.สามารถลดความดันได้ประมาณ 1 มม.ปรอท | ˜ 5 มม.ปรอท |
ใช้ DASH diet (Dietary Approach to Stop Hypertention)* | ให้รับประทานผัก,ผลไม้ที่ไม่หวานจัด,ธัญพืช ลดปริมาณไขมันในอาหาร โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว | ˜ 11 มม.ปรอท |
จำกัดเกลือในอาหาร | – ลดการรับประทานเกลือโซเดียมให้น้อยกว่า 2.4 กรัมต่อวัน – ถ้าความดันโลหิตสูงมากหรือมีโรคประจำตัว ควรจำกัดโซเดียมไว้น้อยกว่า 1.5 กรัมต่อวัน | ˜ 5/6 มม.ปรอท |
การออกกำลังกาย | ควรออกกำลังกายแบบ Cardio อย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว (อย่างน้อย 5 วันต่ออาทิตย์ โดยใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน) | ˜ 5 มม.ปรอท |
งดหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์ | – สำหรับผู้ชายให้จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ไม่เกิน 2 drink / วัน – สำหรับผู้หญิงให้จำกัดการดื่มไม่เกิน 1 drink / วัน | ˜ 4 มม.ปรอท |
*สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับ DASH diet สามารถค้นหาเพิ่มได้ที่ https://www.nhlbi.nih.gov/health/health-topics/topics/dash
อาหารที่พึงระวัง สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง
- อาหารแปรรูปทุกชนิด เช่น ของหมักดอง อาหารกระป๋อง ไส้กรอก
- อาหารขบเคี้ยว บรรจุถุง อาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น มันฝรั่งทอด ข้างเกรียบ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
- เครื่องปรุงรส เช่น ซอสปรุงรส น้ำปลา เต้าเจี้ยว ซอสมะเขือเทศ เต้าหู้ยี้ น้ำมันหอย ซอสพริก กะปิ ปลาร้า ซุปก้อน ซุปผง น้ำพริกแกงสำเร็จ น้ำจิ้มและน้ำซุปชนิดต่างๆ
- สารปรุงแต่งต่างๆ ได้แก่ ผงชูรส ผงฟู สารกันบูด เนื่องจากอาหารเหล่านี้ มีโซเดียมสูงอยู่ในรูปแบบต่างๆ เช่น โซเดียมไนเตรท โซเดียมไนไตรท์ โซเดียมคลอไรด์ โซเดียมคาร์บอเนต โมโนโซเดียมกลูตาเมท โซเดียมซัลเฟต เป็นต้น
วิธีดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงโดยทั่วไปมีวิธีการดังนี้
- ควรรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เพื่อรักษาระดับความดันโลหิตให้คงที่ ไม่ควรหยุดรับประทานยาเอง
- ควรลดอาหารเค็ม ลดเกลือโซเดียม ไม่ควรรับประทานอาหารรสเค็มจัด เช่น ปลาเค็ม เนื่อเค็ม ไข่เค็ม ฯลฯ ทานอาหารรสจืดจะเป็นผลดี รวมทั้งไม่ควรรับประทานผงชูรส ยาธาตุน้ำแดง อาหารกระป๋อง เพราะมีเกลือโซเดียมสูงจะทำให้ความดันความโลหิตสูงขึ้น และยาที่ใช้รักษาจะได้ผลน้อยลง
- ควรลดอาหารพวกไขมัน เช่น อาหารมัน ของผัดของทอด ของใส่กะทิ ขาหมู หมูสามชั้น และอาหารพวกแป้งและพวกน้ำตาล เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว มัน เครื่องดื่ม ของหวาน ผลไม้หวาน
- แนะนำให้ลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ โดยการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย อย่างไรก็ตามไม่ควรที่จะลดน้ำหนักเร็วเกินไป และไม่ควรทานยาลดน้ำหนัก
- ควรงดดื่มสุรา และสูบบุหรี่
- ควรออกกำลังกายแบบ Cardio เป็นประจำเช่น เดินเร็ว ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ เล่นกีฬา เป็นต้น ค่อยๆ เริ่มทีละน้อยๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น โดยออกกำลังกายประมาณ 150 นาทีต่อสัปดาห์
- ควรทำจิตใจให้สบาย ลดความเครียดจากการทำงาน หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่ทำให้หงุดหงิด โมโห ตื่นเต้น ควรทำสมาธิบริหารจิต หรือสวดมนต์ภาวนาตามศาสนาที่ตนนับถือเพื่อทำจิตใจให้สงบเยือกเย็น
- สำหรับสตรีที่ทานยาคุมกำเนิด ควรเปลี่ยนไปคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นๆแทน เช่นการใช้ถุงยางอนามัย การใส่หวงคุมกำเนิดหรือการทำหมัน เป็นต้น
- สำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจวัดความดันโลหิตอย่างน้อยปีละครั้ง หรือทุก 3- 6 เดือน สำหรับผู้ที่อยู่ในระยะก่อนความดันโลหิตสูง
- ควรมาตรวจตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง เพื่อดูอการแทรกซ้อนและผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น
- ในผู้ที่มีการนอนกรม หรือสงสัยภาวะทางเดินหายใจอุดตันระหว่างนอนหลับ (Sleep Apnea) แนะนำให้ตรวจ Sleep test เพื่อวินิจฉัยและวางแผนรักษาภาวะดังกล่าวไปพร้อมกันกับภาวะความดันโลหิตสูง
- คอยสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น เช่น ตามัว ปวดศีรษะ เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก ขาบวม ปัสสาวะไม่ออก ปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง เดินเซ หน้ามืด วิงเวียน ใจสั่น ถ้ามีอาการหรือไม่มั่นใจให้รีบมาปรึกษาแพทย์ทันที
- ถ้าผู้ป่วยวางแผนตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตนเองตั้งครรภ์ให้มาปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
ยารักษาผู้ป่วยความดันโลหิตสูง
ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงแล้วถึงเกณฑ์ต้องได้รับยาลดความดันโลหิต ควรรับประทานยาสม่ำเสมอและมาตรวจกับแพทย์ต่อเนื่อง ไม่ควรหยุดยาเอง เนื่องจากหากควบคุมความดันได้ไม่ดี อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจวาย หัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดสมอง
ยารักษาโรคความดันโลหิตสูงมีหลายกลุ่ม ออกฤทธิ์ต่างๆกันไป บางชนิดเป็นยาขับปัสสาวะ บางชนิดเป็นยาชะลอการเต้นของหัวใจให้เต้นช้าลง บางชนิดเป็นยาขยายหลอดเลือด เนื่องจากยาลดความดันโลหิตมีหลายกลุ่มดังกล่าว แพทย์จึงจำเป็นต้องพิจารณาเลือกยาที่เหมาะสมให้แก่ผู้ป่วยเป็นรายๆไป ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ยาของผู้อื่น และไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง เพราะอาจจะมีผลข้างเคียงจากการใช้ยาเกิดขึ้นได้ โดยผู้ป่วยบางรายได้รับยาเพียงชนิดเดียวก็สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ดี และอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่ผู้ป่วยบางรายต้องใช้ยา 2 ชนิด หรือมากกว่านั้น ในการควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ กรณีที่ผู้ป่วยได้รับยามื้อละหลายเม็ด อย่ารู้สึกเบื่อเสียก่อน ขอให้ทานยาต่อเนื่องไปทุกวันและตรงเวลาเพื่อเป้าหมายลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดได้
หากลืมทานยาและนึกขึ้นได้เมื่อใกล้ยามื้อต่อไปให้ทานเพียงยามื้อนั้นพอ โดยห้ามทานยาเพิ่ม 2 เท่า หากรู้สึกไม่สะดวกที่จะกินยาหลายๆเม็ด หรือกังวลเรื่องผลข้างเคียง ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรเพื่อพิจารณาเลือกยาใหม่ถ้าเป็นไปได้ และหากสังเกตว่ามีอาการผิดปกติ เช่น แน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย หน้ามืด วิงเวียน แขนขาอ่อนแรง ขาบวม หรือ สงสัยว่าตั้งครรภ์ ควรรีบมาพบแพทย์ทันทีเพื่อวินิจฉัยอาการ
ความเข้าใจผิดของผู้ป่วยที่พบได้บ่อยคือ ผู้ป่วยมักเข้าใจว่าถ้าหากทานยาลดความดันติดต่อกันนานๆ จะทำให้เกิดโรคไตวายซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะยาสมัยใหม่มีผลข้างเคียงที่น้อยมากโดยเฉพาะเมื่ออยู่ในการดูแลของแพทย์ซึ่งการที่ไม่ทานยา และปล่อยให้ความดันโลหิตสูงจะมีผลเสียมากกว่าทั้งกับไต หัวใจ และสมอง
หากมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
กรุณาติดต่อ สถาบันหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลพระรามเก้า
หมายเลขโทรศัพท์ 1270 ต่อ 12300, 12377